ศิลปะจีน
นักประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่าจีนมีประวัติแห่งการพัฒนาประเทศเป็น 4 ยุค คือ ยุคแรกเป็นยุคหิน ต่อมาคือยุคหยก ยุคทองแดง และยุคสุดท้ายคือยุคเหล็ก สำหรับสมัยประวัติศาสตร์ของจีนมียุคสมัยของศิลปะที่สำคัญดังนี้
1. สมัยราชวงศ์ชาง ( Shang Dynasty ) ศิลปวัตถุที่เด่นที่สุดคือ เครื่องสำริด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาชนะสำริดซึ่งมีทรวดทรงสวยงาม ใหญ่โต แข็งแรง หล่อด้วยฝีมือที่ยอดเยี่ยม อันแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าทางเทคนิคในการหล่อสำริดที่เจริญกว่าเทคนิคการหล่อสำริดในเมโสโปเตเมีย ทั้งๆทีรู้จักวิธีหล่อสำริดก่อนจีนเกือบพันปี เครื่องสำริดของจีนทำขึ้นโดยการหลอมโลหะที่มีส่วนผสมของทองแดง ดีบุก และตะกั่ว ใช้ทำเป็นภาชนะใส่อาหาร เหล้า และน้ำ ใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น เสียม ขวาน มีด เป็นต้น ลวดลายที่ปรากฏบนสำริดเหล่านี้จะมีความวิจิตรสวยงามมาก มีทั้งลายนูน และลายฝังลึกในเนื้อสำริด เช่น ลายเรขาคณิต ลายสายฟ้า ลายก้อนเมฆ และลวดลายที่เป็นสัญลักษณ์ของสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลายหน้ากากรูปสัตว์ที่เรียกว่า “ เถาเทียะ ” เห็นจมูก เขา และตาถลนอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่พบเห็นในศิลปะจีนในสมัยต่อๆ มาอยู่เสมอ
นอกจากสำริดแล้ว เครื่องหยกประเภทต่างๆ ก็แสดงเห็นฝีมือทางศิลปะอันสูงส่งของสมัยราชวงศ์ชาง หยกเป็นวัตถุที่นิยมนำมาแกะสลักเป็นรูปต่างๆ มากที่สุด โดยช่างในสมัยราชวงศ์ชางมีเทคนิคในการเจียระไนและแกะสลักหยกให้เป็นรูปและลวดลายต่างๆ กัน เช่น เป็นใบมีด เป็นแท่ง เป็นแผ่นแบนๆ หัวลูกศร จี้ หรือรูปสัตว์ต่างๆ สัญลักษณ์ที่นิยมกันมากคือ สัญลักษณ์ของสวรรค์ โลกและทิศสี่ทิศ นอกจากเครื่องหยกแล้วยังพบผลงานแกะสลักอื่นๆอีก เช่น งาช้าง เครื่องปั้นดินเผา หินอ่อน โดยแกะสลักเป็นรูปหัววัว เสือ ควาย นก และเต่า เป็นต้น
2. สมัยราชวงศ์โจว ( Chou Dynasty ) ความก้าวหน้าทางศิลปะของราชวงศ์ชาง ได้สืบทอดต่อมาในสมัยราชวงศ์โจว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคนิคการหล่อสำริด ความเป็นตัวของตัวเองของราชวงศ์โจวก็เริ่มปรากฏชัดขึ้น เช่น มีการเน้นลวดลายประดับประดามากขึ้นและไม่เด่นนูนเหมือนสมัยราชวงศ์ชาง มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น ลวดลายสัตว์เป็นรูปมังกรหลายตัวซ้อนกันและเกี้ยวกระหวัดไปมา ลวดลายละเอียดอ่อนช้อยมาก ในด้านการแกะสลักเครื่องหยกฝีมือช่างสมัยราชวงศ์โจวจะยอดเยี่ยมกว่าสมัยราชวงศ์ชางมาก สามารถแกะสลักได้สลับซับซ้อน ในสมัยราชวงศ์โจวยังพบว่ามีการพัฒนาในเรื่องเครื่องปั้นดินเผา ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็นต้นแบบของเครื่องเคลือบจีน เพราะรู้จักกรรมวิธีในการเคลือบน้ำยาเบื้องต้นและรู้จักเผาไฟด้วยอุณหภูมิสูง
3. สมัยราชวงศ์จิ๋น ( Chin Dynasty ) ในสมัยนี้มีสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดในด้านความมโหฬาร คือ กำแพงเมืองจีน ( The Great Wall ) ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ชิ้นหนึ่งของโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น กำแพงเมืองจีนมีความยาวประมาณ 6,700 – 10,000 กิโลเมตร
นอกจากนี้ก็ยังพบประติมากรรมดินเผาเป็นรูปทหารเท่าคนจริงฝังอยู่ในสุสานพระจักรพรรดิองศ์หนึ่งแห่งราชวงศ์จิ๋น คือ จักรพรรดิฉิน สื่อ หวง ตี่ ซึ่งพระองศ์ได้สร้างไว้ล่วงหน้าก่อนสวรรคต 30 ปี การขุดค้นได้กระทำไปแล้วบางส่วนในพื้นที่ประมาณ 12,600 ตารางเมตร และพบประติมากรรมดินเผารูปทหารและม้าศึกจำนวนมากประมาณ 6,000 รูป รูปทรงของประติมากรรมมีขนาดใกล้เคียงกับคนจริงมาก คือมีความสูงประมาณ 6 ฟุต ปั้นด้วยดินเหนียวสีเทา จากนั้นก็นำไปเผาไฟเช่นเดียวกับการกรรมวิธีการสร้างเครื่องปั้นดินเผาทั่วไป
4. สมัยราชวงศ์ฮั่น ( Han Dynasty ) ความเป็นปึกแผ่นของประเทศได้ส่งผลสะท้อนมายังศิลปกรรมให้เจริญก้าวหน้าไปด้วยรากฐานที่วางไว้ดีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชางเรื่อยมา ต่างได้รับการพัฒนาเต็มที่สมัยราชวงศ์ฮั่น และประติมากรรมเต็มรูปหรือแบบลอยตัวก็เริ่มปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยนี้ มีการพัฒนาทางด้านการออกแบบ กรรมวิธีการสร้างและมโนภาพในงานสถาปัตยกรรม จิตรกรรมเขียนตัวอักษร ประติมากรรมหรืองานศิลปหัตถกรรมทั่วไป ในส่วนของประติมากรรมมีการนำหินมาสลักให้เป็นทั้งรูปลอยตัวและรูปแบน มีเรื่องราวเกี่ยวกับเทพนิยายตามความเชื่อในลัทธิเต๋า ประติมากรรมรูปแบน มักเป็นแผ่นใช้การขีด วาด จารึกเป็นลายเส้นหรือไมก็ฉลุเป็นรูปต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการคิดประดิษฐ์กระดาษใช้แทนผ้าไหมและแผ่นหิน ศิลปะประยุคในสมัยนี้จะบรรลุถึงความงามชั้นสูงสุด โดยเฉพาะช่างทองรูปพรรณขึ้นชื่อในด้านความประณีต งดงาม ซึ่งมีการประดิษฐ์และออกแบบลวดลายพัฒนาขึ้นกว่าเดิมมาก
5. สมัยราชวงศ์จิ้น ( Jin of Tsin Dynasty ) พระพุทธศาสนาได้นำความเชื่อใหม่มาสู่จีน และได้เข้ามามีส่วนเปลี่ยนแปลงศิลปกรรมที่ทำมาเป็นประเพณีแต่เดิม ที่เคยมีความนับถือลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋าเป็นหลักสำคัญ ให้พัฒนาไปสู่รูปแบบพุทธศิลป์แบบใหม่ๆ เช่น การสร้างรูปเคารพ ศาสนสถาน เป็นต้น โดยเฉพะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับพุทธประวัติจากอินเดียได้เข้ามามีส่วนสร้างงานด้วย ซึ่งจะเห็นได้ว่าในระยะแรกพุทธศิลป์คงมีรูปลักษณะแบบอินเดีย แต่ต่อมารูปแบบกรรมวิธีและเนื้อหาได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปตามสมัยนิยม และสอดคล้องกับการแสดงออกของศิลปะจีนเอง เช่น ที่ถ้ำตุนหวง ได้มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังไว้ ซึ่งเป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เก่าแก่ที่สุดของจีน มีลักษณะเป็นภาพทิวทัศน์ประกอบพุทธประวัติ และเป็นตัวอย่างอันดีของการผสมผสานเทคนิคจิตรกรรมแบบเปอร์เซีย อินเดีย และจีนเข้ามาเป็นหนึ่งเดียว
6. สมัยราชวงศ์ถัง ( Tang Dynasty) สมัยนี้เป็นยุคทองของศิลปวัฒนธรรมจีนทุกประเภท โดยเฉพาะเครื่องเคลือบ ฝีมือของช่างในการผลิตเครื่องเคลือบมีคุณภาพสูงกว่าเครื่องเคลือบที่ผลิตจากแหล่งอื่นๆทั่วโลก เครื่องเคลือบที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีคือ “ เครื่องเคลือบสามสี ” ( Thee - colour wares ) มีลักษณะแข็งแรงและสง่างามจึงกลายเป็นลักษณะเฉพาะของเครื่องเคลือบในสมัยราชวงศ์ถัง ลักษณะเนื้อดินละเอียด ขาวหม่น ในการเคลือบน้ำยานั้น จะเว้นที่ส่วนล่างของฐานไว้เล็กน้อย เพื่อแสดงฝีมือการปั้นของช่าง ทั้งนี้ ลวดลายที่ปรากฏ บางส่วนแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของเปอร์เซียด้วย
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น