ศิลปะตะวันออก
ความเจริญทางด้านศิลปวัฒนธรรมของสังคมตะวันออกนั้น อาจกล่าวได้ว่ามีรากฐานจากอารยธรรมของอินเดียและจีนแทบทั้งสิ้น ในลักษณะที่เข้าไปผสมผสานกับศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นในดินแดนต่างๆจนกลายเป็นศิลปวัฒนธรรมของแต่ละชนชาติ อารยธรรมอินเดียและจีนมีพัฒนาการมาช้านานทัดเทียมกับอารยธรรมเมโสโปเตเมียและอียิปต์ จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการก่อให้เกิดผลงานสร้างสรรค์สำคัญๆ ในสังคมตะวันออก ในที่นี้จะขอกล่าวถึงศิลปะของประเทศอินเดีย จีน และขอมพอสังเขป ดังนี้
สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ในทศวรรษของปี ค.ศ. ๒๒๐ การขุดค้นหาหลักฐานทางโบราณคดีเพื่อพิสูจน์ความเจริญของอินเดียในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และจากการขุดค้นก็พบซากเมืองฮัปปา (Harappa ) และโมเฮนโจ-ดาโร (Mohenjo-(Daro) ในกลุ่มแม่น้ำสินธุ ซึ่งนักโบราณคดีสันนิฐานว่า เมืองสองนี้เป็นศูนย์กลางของอารยธรรมเก่าแก่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของลุ่มแม่น้ำสินธุ และตอนบนของลุ่มแม่น้ำคงคา เมื่อสมัยประมาณ ๒๕๐๐ ปี หรือ ๒๐๐๐ ปีก่อนจาหลักฐานได้ว่า ชาวอินเดียในลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นชาวเมืองที่มีความเจริญสูงมากโดยสังเกตจักการวางผังเมืองอย่างเป็นระเบียบ ถนนตัดเป็นมุมฉาก นอกจากนี้ยังมีการขุดพบศิลปวัตถุต่างๆอีกมาก ที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อและความคิดสร้างสรรค์ เช่น ที่ประทับตราทำด้วยหินสบู่จำนวนมาก บางชิ้นฝีมือการสลักยอดเยี่ยมมากโดยแกเป็นเทพเจ้าเป็นสัตว์ประเภทต่างๆ (ส่วนใหญ่เป็นรูปวัวอินเดีย) และยังพบเครื่องประดับทำด้วยหินมีค่าหลายชนิด บางชนิดก็ทำด้วยกระดูกสัตว์พวกงาช้างเปลือกหอย ประเภทดินเผา ทำเป็นรูปนกและสัตว์พวกเครื่องรางและแกะสลักเป็นรูปเสือ ช้าง จระเข้ แต่ที่สนใจและแสดงให้เห็นว่ามีการติดต่อกับเมโสโมเตเมียและอียิปต์คือประติมากรรมลอยตัวขนาดเล็กซึ่งรูปครึ่งตัวของชายมีเครา ใบหน้าคล้ายชนชาติเซมิติก (Semitic) ในเมโสโปเตเมีย เทพเจ้าบางองค์ของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุยังคงมีอิทธิพลอยู่ศาสนาพรามณ์-ฮินดูปัจจุบัน ซึ่งหลักฐานแสดงความต่อเนื่องของอารยธรรมอินเดีย
ศิลปะอินเดีย
สมัยประวัติศาสตร์
ศิลปะอินเดียในสมัยนี้ส่วนใหญ่จะมุ่งพรรณนาหรือเล่าเรื่องเป็นสำคัญ(Base reelief) หรือภาพเขียนบนฝาผนังขนาดใหญ่ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๔ ศิลปะอินเดียเจริญรุ่งเรืองสูงสุดแบบหนึ่งโลก โดยสามารถจำแนกออกเป็นต่างๆ ได้ดังนี้
สมัยประวัติศาสตร์
ศิลปะอินเดียในสมัยนี้ส่วนใหญ่จะมุ่งพรรณนาหรือเล่าเรื่องเป็นสำคัญ(Base reelief) หรือภาพเขียนบนฝาผนังขนาดใหญ่ ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ ๔ ศิลปะอินเดียเจริญรุ่งเรืองสูงสุดแบบหนึ่งโลก โดยสามารถจำแนกออกเป็นต่างๆ ได้ดังนี้
๑) ศิลปะแบบสัญจี (Sanchi) เป็นศิลปะของอินเดียในสมัยประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดอยู่ใน
วงศ์เมานิยะ (Maurya) และศุงคะ (Sunga) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น
วงศ์เมานิยะ (Maurya) และศุงคะ (Sunga) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น
ปรากฏผลงานทั้งด้านสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรมมากมาย ในส่วนสถาปัตกรรมแม้จะเหลืออยู่ไม่มากนัก แต่ปรากฏหลักฐานเป็นศาสนสถานที่เป็นถ้ำ ซากพระราชวังพระอโศกมหาราชที่เมืองปาฏลีบุตร และที่เมืองตักสิลา สถูปต่างๆ และเสาแปดเหลี่ยมสำหรับสถูปที่สำคัญคือ สถูปสาญจี ซึ่งมีลักษณะเป็นโอคว่ำหรือขันคว่ำ ลักษณะดังกล่าวเป็นแบบอย่างสร้างสถูปอื่นๆ ในสมัยอื่นๆ ในสมัยต่อมาเรียกสถูปว่า “ศิลปะแบบสาญจี” ส่วนทางด้านประติมากรรมของอินเดียในระยะแรกมักจะเป็น
ลวดลายประกอบสภาปัตยกรรม มีทั้งประเภทประตากรรมลอยตัว ซึ่งมักเป็นรูปเคารพในศาสนาสถานหรือเทพเจ้าสำคัญๆ เช่น รูปแม่พระธรนี และประเภทภาพสลักนูนต่ำสำหรับพรรรณาเรื่องราวทางศาสนา แต่ศิลปะในสมัยนี้ยังไม่กล้าประดิษฐ์พระพุทธประวัติ จะใช้สัญลักษณ์แทน อาทิ ดอกบัวแทนปางประสูติ ต้นโพธิ์แทนปางตรัสรู้ ธรรมจักรแทนปางปฐมเทศนาและสถูปแทนปางปรินิพพาน เป็นต้น
ลวดลายประกอบสภาปัตยกรรม มีทั้งประเภทประตากรรมลอยตัว ซึ่งมักเป็นรูปเคารพในศาสนาสถานหรือเทพเจ้าสำคัญๆ เช่น รูปแม่พระธรนี และประเภทภาพสลักนูนต่ำสำหรับพรรรณาเรื่องราวทางศาสนา แต่ศิลปะในสมัยนี้ยังไม่กล้าประดิษฐ์พระพุทธประวัติ จะใช้สัญลักษณ์แทน อาทิ ดอกบัวแทนปางประสูติ ต้นโพธิ์แทนปางตรัสรู้ ธรรมจักรแทนปางปฐมเทศนาและสถูปแทนปางปรินิพพาน เป็นต้น
๒) ศิลปะบบคันธาระ (Candhara)
เอาอิทธิพลศิลปะของกรีกรุ่นหลังเข้ามาผสมผสานกับศิลปะท้องถิ่นมากขึ้น ที่สำคัญคือการสร้างพุทธศิลป์ โดยนิยมทำด้วยทำด้วยหินซิสต์ (Schist) สีน้ำเงินปนเทา หรือค่อนข้างเขียนหรือใช้ปูนปั้นแล้วระบายสี พระพุทธรูปแบบ “คันธาระ” จะแสงอิทธิพลของกรีกอย่างชัดเจน นอกจากนี้ศิลปะแบบคันธาระยังเป็นศิลปะสมัยแรกที่กล้าประดิษฐ์พระพุทธรูปขึ้นเป็นมนุษย์ อันเป็นแบบที่เก่าแก่ที่สุด ด้วยความคิดใหม่เช่นนี้ได้ส่งผลสะท้อนไปสู่การประดิษฐ์รูปภาพทางพระพุทธศาสนา อาทิ ปาง ประสูติที่มีภาพพระพุทธองค์เสด็จออกมจากปรัศว์ (สีข้าง) ของมารดา หรือแสดงภาพปางเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน เป็นรูปพระพุทธเจ้ากำลังบรรทมตะแคงสิ้นพระชนม์แวดล้อมไปด้วยพุทธสาวก
๓) ศิลปะแบบมถุรา (Mathura )
ประติมากรรมในสมัยนี้จะนิยมใช้หินทรายสีชมพูแก่ลักษณะของพระพุทธรูปในสมัยนี้แม้จะยังคงแสดงให้เห็นอิทธิของศิลปะแบบคันธาระอยู่บ้าง แต่พระพักตร์ของพระองค์จะมีลักษณะคล้ายชาวอินเดียมากขึ้น พระเคียรมีลักษณะกลม ผ้าจีวรบายิ่งกว่าแบบคันธาระและแนบสนิทกับลำตัว นอกจากนี้ยังมีภาพสลักบนงาช้างและกระดูกด้วยวิธีแกะสลัก ศิลปะแบบมถุราระยะหลังยังคงรักษาการประดิษฐ์แบบธรรมชาติของศิลปะอินเดียโบราณไว้
๔) ศิลปะแบบอมราวดี (Amaravati)
มัลักษณะผสมผสาน โดยบางส่วนจะคล้ายกับมถุรา ลักษณะแบบอมราวดี จะแสดงความเคลื่อนไหวตื่นเต้นมากในระยะแรกและต่อมาค่อยสงบลง แล้วกลับแสดงท่าเคลื่อนไหวใหม่อีกครั้ง ภาพบุคคลไม่มีรูปร่างสมบูรณ์ดังแต่ก่อน ศิลปะแบบนี้จะเป็นการผสมระหว่างศิลปะอินเดียสมัยโบราณและการทำตามอุดมคติปะปนกับการแสดงชีวิตจิตใจ ภาพที่สำคัญในสมัยนี้จะเป็นภาพในวงกลมแสดงการนำบาตรหรือเกศาของพระพุทธเจ้าขึ้นไปสู่สวรรค์พระพุทธรูป
อมราวดีมักจะครองจีวรห่มเฉียง จีวรเป็นริ้วทั้งองค์ และที่เบื้องล่างใกล้พระบาทมีขอบจีวรหนายกจากทางด้านขวาขึ้นมาพาดข้อพระหัตถ์ซ้าย
๕) ศิลปะแบบคุปตะ (Gupta)
ถือเป็นยุคทองศิลปะอินเดีย ซึ่งลักษณะศิลปะแบบคุปตะและคุปตะนั้น มีลักษณะสมัยใหม่ที่พัฒนาจากศิลปะแบบเก่า มีความสมดุลได้สัดส่วน มีความระเอียดอ่อนสวยงามที่เป็นธรรมชาติ มีรูปร่างและเส้นเด่นชัด ซึ่งแสดงให้เห็นความเป็นตัวของตนเองในทางสร้างสรรค์ ผลงานที่สร้างสรรค์ ผลงานที่สำคัญคือพระพุทธรูป เช่น สารนาถ (Sarnath) และมถุรา (Mathura ) ภาพสลักนูนสูงที่ถ้ำเอลลูรา จิตรกรรมที่ถ้ำอชันตาเป็นภาพในพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ทั้งในด้านองค์ประกอบและความสมดุล พระพุทธรูปสมัยคุปตะมีชื่อเสียงแพร่หลายมากที่สุด เนื่องจากเป็นพระพุทธรูปที่แสดงความอ่อนโยน ความเมตตากรุณาลักษณะที่สงบนิ่งสำรวม ศิลปะสมัยคุปตะจึงมีอิทธิพลศิลปะในสมัยหลังหลังๆสืบต่อมาอีกหลายศตวรรษ
0 ความคิดเห็น :
แสดงความคิดเห็น